โรคตับบิดมีสาเหตุจากอะไร สังเกตอย่างไรและแนวทางการรักษาเป็นอย่างไรกันนะ
ที่โรงพยาบาลแอนิมลสเปซมักจะเจอเคสตับบิดในกระต่ายอายุเฉลี่ย 1 ปี เด็กที่สุดที่เป็นตับบิดอยู่ที่ 4 เดือน ส่วนใหญ่มักจะเจอในสายพันธุ์ Hooland lop เนื่องจากอาจจะด้วยความนิยมที่เลี้ยงกันหลายบ้านทำให้เจอพันธุ์นี้เยอะที่สุด
สาเหตุของโรคตับบิดอาจระบุได้อย่างไม่ชัดเจน แต่จากการศึกษาวิจัยและรวบรวมข้อมูลพบว่ามีสาเหตุหลักๆอยู่ 2 อย่างคืออาการท้องอืดและกระเพาะอาหารขยาย
1.อาการท้องอืด มักเจอบ่อยครั้งเนื่องจากการทานอาหารไม่เหมาะสม เช่น การให้ทานผักและผลไม้สดเป็นประจำ ให้อาหารเม็ดในปริมาณมาก หรือขนมที่น้องชอบบ่อยๆ จนทำให้เกิดนิสัยไม่กินหญ้าแห้งขึ้น ส่งผลให้มีอาการท้องอืดขึ้นมา นอกจากอาหารแล้วเรื่องความเครียดก็ส่งผลให้มีอาการท้องอืดได้เช่นกัน
2.กระเพาะอาหารขยาย มักเจอในกระต่ายที่ตะกละ ชอบกินอาหารเยอะมากๆในคราวเดียว กินแปปเดียวก็หมด เมื่อไม่อยากต้องเดินมาเติมหญ้าบ่อยๆ บางบ้านเลยอาจจะมีการวางหญ้าเป็นกองใหญ่เพื่อหวังให้น้องกินได้นานๆ แม้บางตัวจะกินเรื่อยๆ แต่บางตัวก็จะกินไม่หยุดพักจนทำให้กระเพาะขยายใหญ่ขึ้นมาจนเบียดอวัยวะภายในอื่นๆ โดยเฉพาะตับ ทำให้เกิดการบิดตัวกลายเป็นตับบิดนั่นเอง
Animal Space Exotic Pet Hospital โรงพยาบาลสัตว์แอนิมอลสเปซ รักษาสัตว์ Exotic สัตว์แปลก สัตว์หายาก
กระต่าย (Rabbit)
โรคตับบิดมีสาเหตุจากอะไร สังเกตอย่างไรและแนวทางการรักษาเป็นอย่างไรกันนะ
โรคตับบิดมีสาเหตุจากอะไร สังเกตอย่างไรและแนวทางการรักษาเป็นอย่างไรกันนะ
ที่โรงพยาบาลแอนิมลสเปซมักจะเจอเคสตับบิดในกระต่ายอายุเฉลี่ย 1 ปี เด็กที่สุดที่เป็นตับบิดอยู่ที่ 4 เดือน ส่วนใหญ่มักจะเจอในสายพันธุ์ Hooland lop เนื่องจากอาจจะด้วยความนิยมที่เลี้ยงกันหลายบ้านทำให้เจอพันธุ์นี้เยอะที่สุด
สาเหตุของโรคตับบิดอาจระบุได้อย่างไม่ชัดเจน แต่จากการศึกษาวิจัยและรวบรวมข้อมูลพบว่ามีสาเหตุหลักๆอยู่ 2 อย่างคืออาการท้องอืดและกระเพาะอาหารขยาย
1.อาการท้องอืด มักเจอบ่อยครั้งเนื่องจากการทานอาหารไม่เหมาะสม เช่น การให้ทานผักและผลไม้สดเป็นประจำ ให้อาหารเม็ดในปริมาณมาก หรือขนมที่น้องชอบบ่อยๆ จนทำให้เกิดนิสัยไม่กินหญ้าแห้งขึ้น ส่งผลให้มีอาการท้องอืดขึ้นมา นอกจากอาหารแล้วเรื่องความเครียดก็ส่งผลให้มีอาการท้องอืดได้เช่นกัน
2.กระเพาะอาหารขยาย มักเจอในกระต่ายที่ตะกละ ชอบกินอาหารเยอะมากๆในคราวเดียว กินแปปเดียวก็หมด เมื่อไม่อยากต้องเดินมาเติมหญ้าบ่อยๆ บางบ้านเลยอาจจะมีการวางหญ้าเป็นกองใหญ่เพื่อหวังให้น้องกินได้นานๆ แม้บางตัวจะกินเรื่อยๆ แต่บางตัวก็จะกินไม่หยุดพักจนทำให้กระเพาะขยายใหญ่ขึ้นมาจนเบียดอวัยวะภายในอื่นๆ โดยเฉพาะตับ ทำให้เกิดการบิดตัวกลายเป็นตับบิดนั่นเอง
วิธีการสังเกตอาการง่ายๆจากบ้าน
1.ดวงตา
ปกติ – กลมโตสดใส
ปานกลาง – เริ่มหรี่ตาลงแต่ยังสดใสอยู่
มาก – ตาหรี่มากๆ จนกลายเป็นเส้นขีด
2.แก้ม
ปกติ – ทรงกลม
ปานกลาง – ค่อยๆแหลมขึ้น
มาก – หน้าแหลมจนไม่เห็นแก้ม
3.จมูก
ปกติ -เป็นตัวยู
ปานกลาง – ค่อยๆหุบเข้ามา
มาก – กลายเป็นรูปตัววี
4.หนวด
ปกติ – หนวดตั้งตรง
ปานกลาง – มีบางส่วนที่หย่อน
มาก – หนวดหย่อนลง หงิก
5.หู
ปกติ – หูตั้งตรง
ปานกลาง – หูเริ่มเอียงไปด้านหลัง
มาก – หูลู่ไปด้านหลัง
ถ้ายังดูหน้าตาน้องไม่ค่อยออกเพราะอาจจะเก็บอาการ สามารถดูวิธีอื่นๆได้ คือ อึผิดปกติ ขนาดเล็ก ขนาดไม่เท่ากัน หรือไม่อึ มีนั่งกกไข่ กินหญ้าน้อยลงหรือให้ขนมที่ชอบก็ไม่กิน เริ่มซ่อนตัว บางตัวไม่ยอมให้จับเพราะปวดท้อง
การวินิจฉัยโรคตับบิด
ตรวจร่างกาย
คุณหมอจะเริ่มจากดูอาการน้องตอนอยู่ในตะกร้าก่อนว่ามีท่าทางเป็นอย่างไร หน้าตาโอเคหรือเปล่า จากนั้นจะอุ้มน้องออกมาเพื่อตรวจบนโต๊ะตรวจ และคลำตรวจอย่างละเอียดและลึกขึ้น โดยจะเน้นไปทางขวาหน้าที่เป็นตำแหน่งของตับเพื่อคลำลักษณะว่าเริ่มมีความแข็งมากขึ้นหรือยัง และระหว่างคลำตรวจน้องได้แสดงอาการเจ็บปวดออกมาหรือเปล่า
ต่อมาฟังเสียงหัวใจ เสียงปอด และการเคลื่อนที่ของลำไส้ว่ามีการเคลื่อนตัวช้ากว่าปกติหรือเปล่า และตามด้วยการตรวจสีเยื่อเมือกจากบริเวณเหงือกและเยื่อบุตาขาว หากสีเดิมที่เคยชมพูสดใสเริ่มซีดลงและขาว เป็นไปได้ว่าอาจจะมีอาการตับบิด
อาการอื่นๆที่มักจะพบตับบิดจากน้องกระต่ายที่พามา จะพบว่าอ่อนแรง มีภาวะขาดน้ำ อุญหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติหรือบางครั้งแค่ตรวจสุขภาพร่างกายตามปกติก็คลำเจอ
2.ตรวจเลือด
การตรวจนี้จะช่วยให้มองเห็นลึกขึ้นว่าตัวค่าเลือดต่างๆยังอยู่ในเกณฑ์ปกติดีหรือเปล่า โดยเฉพาะค่า AST และ ALT ซึ่งจะบ่งบอกได้ว่าน้องกระต่ายเป็นโรคตับบิดหรือเปล่า ในข้อมูลที่แอนิมอลสเปซเก็บมา เคสที่เจอค่าเลือดสูงสุดอยู่ที่ AST 1297 จากค่าปกติ 98 และ ALT 2626 จากค่าปกติ 109
ในเคสที่มีค่าเม็ดเลือดต่ำกว่าปกติ 15% คุณหมอจะทำการถ่ายเลือดก่อนผ่าตัดหรือระหว่างผ่าตัด ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณีไป
ส่วนบ้านไหนที่มาตรวจแล้วค่าเลือดปกติทุกอย่างไม่ต้องเสียดายน้า ถือว่าเป็นการตรวจสุขภาพเก็บไว้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบต่อไปแทนค่า
3.เอ็กซเรย์
ที่โรงพยาบาลของเราจะทำการถ่ายฟิล์มจำนวน 2 ท่าด้วยกันคือ ท่านอนหงายและท่านอนตะแคง การดูว่ามีลักษณะตับบิดหรือเปล่าจะสังเกตที่ตัวตับกับซี่โครง มีการขยายตัวของตับเลยออกมาจากซี่โครงเยอะเกินไปหรือเปล่า จากนั้นสังเกตที่ขอบของตับว่ามีลักษณะโค้งมนขึ้นไหม และดูช่องท้องทั้งหมดว่าเกิดแก๊สเยอะแค่ไหนเพื่อรักษาอาการท้องอืดร่วมด้วย
แต่วิธีนี้มักจะมองเห็นว่าเป็นตับบิดได้ไม่ชัดเจนนัก แต่จะสามารถเห็นภาพรวมของช่องท้องได้จึงมักทำในเคสที่ดูมีปัญหาระบบทางเดินอาหารอื่นๆร่วมด้วย
4.อัลตราซาวด์
คุณหมอลูกเกดจะเป็นคุณหมอซาวด์หลักๆของโรงพยาบาล ทุกครั้งที่จะต้องทำการซาวด์ดูอวัยวะภายใน จะขอโกนบริเวณท้องน้องออกสักหน่อย เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนและวินิจฉัยได้แม่นยำ เมื่อเริ่มซาวด์คุณหมอจะใช้หัวโขลกกดลงไปบริเวณท้องส่วนบนเพื่อดูลักษณะตับว่าขอบเนื้อเริ่มมีความกลมมนขึ้นหรือเปล่า สีที่เห็นภายในตับจากปกติที่มีสีเดียวเฉดเท่ากัน มีการผสมกันระหว่างสีขาวและสีดำไหม และสุดท้ายคุณหมอจะใส่ color dropper เพื่อดูเลือดภายในว่ายังมีการเลี้ยงตับเหมือนเดิมหรือเปล่า หากพบว่าไม่มีเลือดเลย หมายความว่าน้องคนนั้นมีโอกาสเป็นตับบิด
Animal Space Exotic Pet Hospital โรงพยาบาลสัตว์แอนิมอลสเปซ รักษาสัตว์ Exotic สัตว์แปลก สัตว์หายาก
กระต่าย (Rabbit)
โรคตับบิดมีสาเหตุจากอะไร สังเกตอย่างไรและแนวทางการรักษาเป็นอย่างไรกันนะ
โรคตับบิดมีสาเหตุจากอะไร สังเกตอย่างไรและแนวทางการรักษาเป็นอย่างไรกันนะ
ที่โรงพยาบาลแอนิมลสเปซมักจะเจอเคสตับบิดในกระต่ายอายุเฉลี่ย 1 ปี เด็กที่สุดที่เป็นตับบิดอยู่ที่ 4 เดือน ส่วนใหญ่มักจะเจอในสายพันธุ์ Hooland lop เนื่องจากอาจจะด้วยความนิยมที่เลี้ยงกันหลายบ้านทำให้เจอพันธุ์นี้เยอะที่สุด
สาเหตุของโรคตับบิดอาจระบุได้อย่างไม่ชัดเจน แต่จากการศึกษาวิจัยและรวบรวมข้อมูลพบว่ามีสาเหตุหลักๆอยู่ 2 อย่างคืออาการท้องอืดและกระเพาะอาหารขยาย
1.อาการท้องอืด มักเจอบ่อยครั้งเนื่องจากการทานอาหารไม่เหมาะสม เช่น การให้ทานผักและผลไม้สดเป็นประจำ ให้อาหารเม็ดในปริมาณมาก หรือขนมที่น้องชอบบ่อยๆ จนทำให้เกิดนิสัยไม่กินหญ้าแห้งขึ้น ส่งผลให้มีอาการท้องอืดขึ้นมา นอกจากอาหารแล้วเรื่องความเครียดก็ส่งผลให้มีอาการท้องอืดได้เช่นกัน
2.กระเพาะอาหารขยาย มักเจอในกระต่ายที่ตะกละ ชอบกินอาหารเยอะมากๆในคราวเดียว กินแปปเดียวก็หมด เมื่อไม่อยากต้องเดินมาเติมหญ้าบ่อยๆ บางบ้านเลยอาจจะมีการวางหญ้าเป็นกองใหญ่เพื่อหวังให้น้องกินได้นานๆ แม้บางตัวจะกินเรื่อยๆ แต่บางตัวก็จะกินไม่หยุดพักจนทำให้กระเพาะขยายใหญ่ขึ้นมาจนเบียดอวัยวะภายในอื่นๆ โดยเฉพาะตับ ทำให้เกิดการบิดตัวกลายเป็นตับบิดนั่นเอง
วิธีการสังเกตอาการง่ายๆจากบ้าน
1.ดวงตา
ปกติ – กลมโตสดใส
ปานกลาง – เริ่มหรี่ตาลงแต่ยังสดใสอยู่
มาก – ตาหรี่มากๆ จนกลายเป็นเส้นขีด
2.แก้ม
ปกติ – ทรงกลม
ปานกลาง – ค่อยๆแหลมขึ้น
มาก – หน้าแหลมจนไม่เห็นแก้ม
3.จมูก
ปกติ -เป็นตัวยู
ปานกลาง – ค่อยๆหุบเข้ามา
มาก – กลายเป็นรูปตัววี
4.หนวด
ปกติ – หนวดตั้งตรง
ปานกลาง – มีบางส่วนที่หย่อน
มาก – หนวดหย่อนลง หงิก
5.หู
ปกติ – หูตั้งตรง
ปานกลาง – หูเริ่มเอียงไปด้านหลัง
มาก – หูลู่ไปด้านหลัง
ถ้ายังดูหน้าตาน้องไม่ค่อยออกเพราะอาจจะเก็บอาการ สามารถดูวิธีอื่นๆได้ คือ อึผิดปกติ ขนาดเล็ก ขนาดไม่เท่ากัน หรือไม่อึ มีนั่งกกไข่ กินหญ้าน้อยลงหรือให้ขนมที่ชอบก็ไม่กิน เริ่มซ่อนตัว บางตัวไม่ยอมให้จับเพราะปวดท้อง
การวินิจฉัยโรคตับบิด
ตรวจร่างกาย
คุณหมอจะเริ่มจากดูอาการน้องตอนอยู่ในตะกร้าก่อนว่ามีท่าทางเป็นอย่างไร หน้าตาโอเคหรือเปล่า จากนั้นจะอุ้มน้องออกมาเพื่อตรวจบนโต๊ะตรวจ และคลำตรวจอย่างละเอียดและลึกขึ้น โดยจะเน้นไปทางขวาหน้าที่เป็นตำแหน่งของตับเพื่อคลำลักษณะว่าเริ่มมีความแข็งมากขึ้นหรือยัง และระหว่างคลำตรวจน้องได้แสดงอาการเจ็บปวดออกมาหรือเปล่า
ต่อมาฟังเสียงหัวใจ เสียงปอด และการเคลื่อนที่ของลำไส้ว่ามีการเคลื่อนตัวช้ากว่าปกติหรือเปล่า และตามด้วยการตรวจสีเยื่อเมือกจากบริเวณเหงือกและเยื่อบุตาขาว หากสีเดิมที่เคยชมพูสดใสเริ่มซีดลงและขาว เป็นไปได้ว่าอาจจะมีอาการตับบิด
อาการอื่นๆที่มักจะพบตับบิดจากน้องกระต่ายที่พามา จะพบว่าอ่อนแรง มีภาวะขาดน้ำ อุญหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติหรือบางครั้งแค่ตรวจสุขภาพร่างกายตามปกติก็คลำเจอ
2.ตรวจเลือด
การตรวจนี้จะช่วยให้มองเห็นลึกขึ้นว่าตัวค่าเลือดต่างๆยังอยู่ในเกณฑ์ปกติดีหรือเปล่า โดยเฉพาะค่า AST และ ALT ซึ่งจะบ่งบอกได้ว่าน้องกระต่ายเป็นโรคตับบิดหรือเปล่า ในข้อมูลที่แอนิมอลสเปซเก็บมา เคสที่เจอค่าเลือดสูงสุดอยู่ที่ AST 1297 จากค่าปกติ 98 และ ALT 2626 จากค่าปกติ 109
ในเคสที่มีค่าเม็ดเลือดต่ำกว่าปกติ 15% คุณหมอจะทำการถ่ายเลือดก่อนผ่าตัดหรือระหว่างผ่าตัด ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณีไป
ส่วนบ้านไหนที่มาตรวจแล้วค่าเลือดปกติทุกอย่างไม่ต้องเสียดายน้า ถือว่าเป็นการตรวจสุขภาพเก็บไว้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบต่อไปแทนค่า
การวินิจฉัยโรคตับบิด
เอ็กซเรย์
ที่โรงพยาบาลของเราจะทำการถ่ายฟิล์มจำนวน 2 ท่าด้วยกันคือ ท่านอนหงายและท่านอนตะแคง การดูว่ามีลักษณะตับบิดหรือเปล่าจะสังเกตที่ตัวตับกับซี่โครง มีการขยายตัวของตับเลยออกมาจากซี่โครงเยอะเกินไปหรือเปล่า จากนั้นสังเกตที่ขอบของตับว่ามีลักษณะโค้งมนขึ้นไหม และดูช่องท้องทั้งหมดว่าเกิดแก๊สเยอะแค่ไหนเพื่อรักษาอาการท้องอืดร่วมด้วย
แต่วิธีนี้มักจะมองเห็นว่าเป็นตับบิดได้ไม่ชัดเจนนัก แต่จะสามารถเห็นภาพรวมของช่องท้องได้จึงมักทำในเคสที่ดูมีปัญหาระบบทางเดินอาหารอื่นๆร่วมด้วย
4.อัลตราซาวด์
คุณหมอลูกเกดจะเป็นคุณหมอซาวด์หลักๆของโรงพยาบาล ทุกครั้งที่จะต้องทำการซาวด์ดูอวัยวะภายใน จะขอโกนบริเวณท้องน้องออกสักหน่อย เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนและวินิจฉัยได้แม่นยำ เมื่อเริ่มซาวด์คุณหมอจะใช้หัวโขลกกดลงไปบริเวณท้องส่วนบนเพื่อดูลักษณะตับว่าขอบเนื้อเริ่มมีความกลมมนขึ้นหรือเปล่า สีที่เห็นภายในตับจากปกติที่มีสีเดียวเฉดเท่ากัน มีการผสมกันระหว่างสีขาวและสีดำไหม และสุดท้ายคุณหมอจะใส่ color dropper เพื่อดูเลือดภายในว่ายังมีการเลี้ยงตับเหมือนเดิมหรือเปล่า หากพบว่าไม่มีเลือดเลย หมายความว่าน้องคนนั้นมีโอกาสเป็นตับบิด
วิธีการอาจจะไม่ได้ยาก แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเนื่องจากทางแอนิมอลสเปซจะใช้วิธีการรักษาแบบ supportive และการผ่าตัดพร้อมๆกัน
ก่อนเข้ารับการผ่าตัดหากตัวน้องอาการไม่ดีจะใช้อุปกรณ์และยาในการ supportive ค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการให้ยาลดปวด ให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการผ่าตัด แน่นอนว่าแค่วิธีนี้เพียงอย่างเดียวทำให้โอกาสที่น้องจะหายดีและรอดชีวิตมีค่อนข้างน้อยกว่า 50% เพราะเนื้อตับที่เสียหายไปแล้วยังคงอยู่ภายในร่างกาย หลังจากประคองอาการน้องให้คงที่แล้วคุณหมอจะทำการผ่าตัดฉุกเฉินทันที ด้วยการดมยาสลบซึ่งเป็นยาชนิดปลอดภัย